ความสัมพันธ์ระหว่าง Black Friday กับตลาดหุ้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

What is the relationship between Black Friday and the stock market?

Black Friday ถือเป็นวันถัดไปจากวันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐอเมริกา วันขอบคุณพระเจ้า (วันพฤหัสบดีที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน) เป็นวันที่มีการเตรียมงานเทศกาลวันหยุดที่เริ่มต้นขึ้นในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นราคาหุ้นของบริษัทต่าง ๆ มักจะเพิ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนธันวาคม และไปจนถึงวันที่ 25 ธันวาคมซึ่งเป็นวันคริสต์มาสในคาทอลิก นักลงทุนเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า "December Effect" Black Friday เป็นวันพิเศษที่ผู้ซื้อจะได้รับส่วนลดมากมายจากการซื้อสินค้า และบางครั้งก็จัดส่งให้ฟรี ในแง่ของตลาดการเงินปรากฎการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งการใช้จ่ายในร้านค้าปลีก และผู้บริโภคใช้จ่ายเงินในสหรัฐอเมริกากันมากที่สุด

นอกจาก Black Friday แล้ว ยังมี Cyber Monday อีกด้วย ซึ่งก็คือวันจันทร์หลังจากวันหยุดสุดสัปดาห์ มีการขยายส่วนลดต่าง ๆ ในวันหยุด แต่มุ่งเน้นไปทีการช้อปปิ้งออนไลน์ Black Friday และ Cyber Monday มีความสำคัญต่อผลการดำเนินงานประจำปีของธุรกิจ และนักลงทุนมองว่าข้อมูลของยอดขายในวันเหล่านี้เป็นวิธีการวัดสถานะโดยรวมของอุตสาหกรรมการค้าปลีกทั้งหมด

แต่ในปี พ.ศ. 2565 Black Friday และ Cyber Monday จะแตกต่างไปจากปีก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัดเจน ในขณะที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ข้อจำกัด และปัญหาของห่วงโซ่อุปทานได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยในปีนี้จะถูกจำกัดด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูง ราคาน้ำมัน และไฟฟ้าสูงขึ้นจากการรุกรานยูเครนจากรัสเซีย อัตราดอกเบี้ยสูง และตลาดที่อยู่อาศัยมีจำนวนลดลง คุณต้องเข้าใจว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นกำลังผลักดันให้สินเชื่อเพิ่มจำนวนขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ และผู้บริโภคชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยมักใช้สินเชื่อในการดำรงชีวิต นักวิเคราะห์เชื่อว่านี่จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขายก่อนวันหยุด แต่นักเศรษฐศาสตร์ของ Moody มีความเห็นที่แตกต่างออกไป และเชื่อว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่ดีเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แนวโน้มอุปสงค์ของผู้บริโภคยังคงมีความแข็งแกร่งในปีนี้แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงก็ตาม

ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าจะมีการแสดงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับสถานะของเศรษฐกิจมากมาย หากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลลดราคาสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจ ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคเต็มใจที่จะใช้จ่ายมากกว่าที่จำนวนที่ผู้ผลิตได้วางแผนเอาไว้ และจะนำไปสู่รายได้ที่สูงขึ้นสำหรับผู้ค้าปลีก เช่น Walmart (WMT), Amazon (AMZN), Target (TGT), TJ Maxx, and Marshalls TJX (TJX), Macy's (M), Kohl's (KSS), Gap (GPS) และอื่น ๆ อีกมากมาย กำไรของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นจะเป็นสัญญาณให้นักลงทุนทำการลงทุนต่อไปซึ่งจะนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นในที่สุด นี่คือสาเหตุว่าทำไมตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงถูกครอบงำด้วยการมองโลกในแง่ดีก่อนวันหยุดในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมักเรียกว่า "การฟื้นตัวในช่วงปีใหม่" หรือ "การฟื้นตัวของซานตาคลอส" Yale Hirsch กล่าวถึงคำว่า "การฟื้นตัวของซานตาคลอส" เป็นครั้งแรกในนิตยสาร Trader's Almanac ในปี พ.ศ. 2515 จากข้อมูลของ Hirsch "การฟื้นตัวของซานตาคลอส" สามารถนำมาเป็นตัวบ่งชี้ในการคาดการณ์ผลตอบแทนในปีหน้าได้ ตัวอย่างเช่น หากการชุมนุมเป็นไปในเชิงบวกก็จะสามารถคาดการณ์ได้ว่าผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า และในทางกลับกัน

หากคุณเปรียบเทียบกราฟของผลตอบแทนสำหรับ S&P 500 (US500) ในช่วง "December Effect" กับผลตอบแทนสะสมเฉลี่ยรายเดือนต่อปี ในอดีตเดือนธันวาคมมีผลกำไรสำหรับนักลงทุนใน 73% ของกรณีที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8% (รวมถึงในช่วงติดลบ) และในกรณีส่วนใหญ่ (เกือบ 68%) ผลตอบแทนของเดือนธันวาคมนั้นมากกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของดัชนี

Black Friday

ฮิสโตแกรมสีน้ำเงิน - การฟื้นตัวของดัชนี S&P500 ในเดือนธันวาคม %
จุดสีส้ม - ผลตอบแทนสะสมเฉลี่ยรายเดือนต่อปีของดัชนี S&P500 %

ทำไมหุ้นของบริษัท และดัชนีหลักจำนวนมากจึงเริ่มเติบโตในช่วงเวลาดังกล่าว

เหตุผลต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้:

  • จะมีการจ่ายโบนัสประจำปีในช่วงเวลานี้
  • ผลที่ตามมาของเหตุผลแรก คือ ยอดขายก่อนคริสต์มาสทำให้อุปสงค์พื้นฐานของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยลดอัตราเงินเฟ้อลงเล็กน้อย
  • จากการเพิ่มขึ้นของยอดค้าปลีก นักลงทุนกำลังซื้อหุ้นของบริษัทค้าปลีกที่จะรายงานในไตรมาสหน้า
  • ตลาดมีสภาพคล่องน้อยลงเนื่องจากผู้จัดการธนาคารชั้นนำ และผู้จัดการความเสี่ยงของกองทุนกำลังลาพักร้อน

นอกจากนี้ยังมีปรากฎการณ์ที่เรียกว่า "January Effect" ในสหรัฐอเมริกา มันไม่เกี่ยวข้องกับวันหยุดอีกต่อไปแต่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาของภาษี ในเดือนธันวาคมในสหรัฐอเมริกา ระยะเวลาภาษีประจำปีสิ้นสุดลง และนักลงทุนต้องการลดฐานภาษี ในการทำเช่นนั้น พวกเขาขายหุ้นในปลายเดือนธันวาคม และซื้อหุ้นคืนในต้นเดือนมกราคม ตามสถิติแล้ว ตลาดหุ้นมักจะเทขายหุ้นในช่วงปลายเดือนธันวาคมซึ่งปกติแล้วมักเกิดขึ้นก่อนวันคริสต์มาส และทำให้ดัชนีร่วงลง ในทางกลับกัน เดือนมกราคมจะเป็นเดือนแห่งการเติบโต อย่างไรก็ตามมันจะก็เติบโตขึ้นเพียงบางครั้งเท่านั้น และอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือหุ้นของบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็ก

ขอให้ได้รับกำไรจากการซื้อขายนะคะ

เริ่มทำการซื้อขาย

by JustMarkets, 2022.11.22