การเรียนรู้

ก.ค. 4

1 นาทีที่อ่าน

ข้อมูล PMI (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) ภาคการผลิต และบริการ สิ่งที่นักเทรดต้องทราบ

ข้อมูล PMI (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) ภาคการผลิต และบริการ สิ่งที่นักเทรดต้องทราบ

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพธุรกิจในปัจจุบัน และอนาคต เป็นตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจที่คำนวณจากการสำรวจรายเดือนของบริษัทต่าง ๆ ช่วยกำหนดว่าสภาวะตลาดกำลังขยายตัว หดตัว หรือยังคงเหมือนเดิมจากมุมมองของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ

PMI ได้มาจากการส่งคำถามตามข้อเท็จจริงไปยังบริษัทจำนวนมากในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คำถามมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริง และเกี่ยวข้องกับตัวแปรสำคัญ 5 ตัวแปร ได้แก่ คำสั่งซื้อใหม่ (30%) การผลิต (25%) การจ้างงาน (20%) จำนวนครั้งของการส่งมอบจากซัพพลายเออร์ (15%) และสินค้าคงคลังที่ซื้อ (10%)

PMI ระบุทิศทางของแนวโน้มทางเศรษฐกิจ และช่วยให้นักเศรษฐศาสตร์สามารถคาดการณ์กิจกรรมการผลิตในประเทศได้ โดยปกติแล้ว PMI จะทำการเผยแพร่ก่อนข้อมูลอื่น ๆ เช่น GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ตามกฎแล้ว ดัชนีจะเผยแพร่เดือนละครั้ง และแสดงแนวโน้มทั้งในภาคการผลิต และบริการ

วิธีการอ่านข้อมูล PMI ภาคการผลิต และบริการ

ข้อมูล PMI ควรได้รับการประเมินเป็นสามระดับ:

  1. ประเมินมูลค่าที่เกี่ยวข้องกับระดับ 50
  2. ความเคลื่อนไหวของกิจกรรมทางธุรกิจในแต่ละเดือน
  3. เปรียบเทียบมูลค่าจริงกับมูลค่าที่คาดการณ์ไว้

หากการเปลี่ยนแปลงของ PMI เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบเดือนปัจจุบันกับเดือนที่แล้ว และมีค่ามากกว่า 50 แสดงว่ามีการขยายตัวของกิจกรรมทางธุรกิจในภาคส่วนนี้ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต หากความเคลื่อนไหวลดลงเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างเดือนปัจจุบันกับเดือนที่แล้ว แต่มีค่าสูงกว่า 50 แสดงว่าระดับของกิจกรรมทางธุรกิจในภาคธุรกิจลดลง แต่สถานการณ์ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม

หาก PMI ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างเดือนปัจจุบันกับเดือนที่แล้ว และมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่ากิจกรรมทางธุรกิจในภาคธุรกิจหดตัว ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากความเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างเดือนปัจจุบันกับเดือนที่แล้ว แต่มีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่าระดับของกิจกรรมทางธุรกิจยังอ่อนแอ แต่มีสัญญาณของการฟื้นตัว

หากค่าที่แท้จริงดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ มันจะเป็นผลดีต่อตลาด หากค่าที่แท้จริงแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ จะก็ถือได้ว่าเป็นผลเสียต่อตลาด

เราลองดูตัวอย่างที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกัน เมื่อวันพฤหัสบดี (23 มิถุนายน) ที่ผ่านมา ประเทศชั้นนำในยุโรป (ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และเยอรมนี) ได้เปิดเผยข้อมูล PMI สำหรับภาคการผลิต และบริการ ข้อมูลต่ำกว่าเดือนที่แล้ว และแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ในเกือบทุกประเทศ ส่งผลให้สกุลเงินยุโรปลดลงอย่างรวดเร็ว และปิดตลาดของวันด้วยเทียนสีแดง แต่ค่ายังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้สิ่งต่าง ๆ จะแย่ลง แต่ระดับของกิจกรรมทางธุรกิจก็ยังคงสูง นี่ดูเหมือนจะเป็นค่าที่อยู่ในระยะกลางเสียมากกว่า โดยปกติเมื่อระดับของกิจกรรมทางธุรกิจลดลงต่ำกว่า 50 ธนาคารกลางจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจถดถอย