ทองคำเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีค่าที่สุดในโลก เป็นโลหะมีค่าที่มีคุณค่ามาตลอดประวัติศาสตร์ ทองคำเป็นสินค้าที่สามารถจับต้องได้โดยไม่เสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ซึ่งแตกต่างไปจากเงินกระดาษ แม้ว่าระบบเงินเฟียตได้ถูกนำเข้ามาแทนที่ทองคำเป็นสกุลเงินโลกทั้งหมดแต่ทองคำยังคงรักษามูลค่าที่แท้จริง และมูลค่าทางเศรษฐกิจเอาไว้ได้
มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการกำหนดราคาทองคำ
- นโยบายการเงินของธนาคารกลาง
ธนาคารกลางมีอำนาจอย่างมหาศาลในการกำหนดราคาตลาดทองคำทั่วโลก ประการแรก ธนาคารกลางเป็นผู้ถือทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศในรูปแบบของทองคำที่สามารถจับต้องได้ หากธนาคารพาณิชย์เพิ่ม หรือลดตำแหน่งทองคำอย่างกระทันหัน แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น
ประการที่สอง ในช่วงเวลาของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เช่น วิกฤตการเงิน หรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ธนาคารกลางสามารถเข้าแทรกแซงได้ด้วยการปรับนโยบายการเงิน: เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย จัดพิมพ์เงินเพิ่ม หรือถอนเงินออกจากระบบการเงิน
การลดอัตราดอกเบี้ย หรือจัดพิมพ์เงินเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้นซึ่งจะทำให้สกุลเงินของประเทศไม่มีค่า ในช่วงเวลานั้น ราคาทองคำจะสูงขึ้นเนื่องจากทองคำถูกใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อป้องกัน และประกันอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และธนาคารกลางลดงบดุลลงจะทำให้สกุลเงินของประเทศเพิ่มขึ้น และราคาทองคำลดลง นี่คือสถานการณ์ในปี พ.ศ. 2565 เมื่อธนาคารกลางของโลกเริ่มเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี พ.ศ. 2565 ส่งผลให้ราคาทองคำเริ่มลดลง และถึงจุดต่ำสุดในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 เมื่อธนาคารกลางเริ่มลดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- อุปสงค์ และอุปทานของตลาด
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในตลาดที่เปิด ความต้องการทองคำที่มากเกินไป (โดยปกติจะเป็นเครื่องประดับ หรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีบางอย่าง) ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น (สมมติว่ามีอุปทานคงที่) ในทางกลับกัน อุปสงค์ที่อ่อนตัวลงมักจะส่งผลตรงกันข้ามกับมูลค่าของทองคำซึ่งทำราคาทองคำลดลง (สมมติว่าอุปทานคงที่)
ควรสังเกตเกี่ยวกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนกองทุนรวมดัชนี (ETF) ด้วย ETF ขนาดใหญ่จำนวนมากถือครองทองคำที่สามารถจับต้องได้จำนวนมาก การไหลเข้า และการไหลออกของเงินทุนจาก ETF ดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบต่อราคาของโลหะมีมูลค่า เปลี่ยนแปลงลักษณะของอุปสงค์ และอุปทานในตลาด
- ความตื่นตระหนกทั่วโลก และภัยธรรมชาติ (สงคราม แผ่นดินไหว สึนามิ)
ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย เนื่องจากรัฐบาล และนักลงทุนหันมาใช้ทองคำเป็นเครื่องประกันความไม่แน่นอน ในทางกลับกัน ราคาทองคำมีแนวโน้มลดลงในช่วงเวลาที่มีเสถียรภาพเนื่องจากแหล่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากกว่า และอาจมอบผลกำไรได้สูงกว่าซึ่งทำให้เติบโตได้มากขึ้น
- การพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ
เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นกลไกการกำหนดราคามาตรฐานสำหรับทองคำ ราคาทองคำจึงมีความสัมพันธ์ผกผันกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยปกติแล้ว หากดัชนีค่าเงินดอลล่าร์เพิ่มขึ้นจะทำให้พันธบัตรรัฐบาลสูงขึ้น และราคาทองคำลดลง ในทางกลับกัน การร่วงลงของเงินดอลลาร์ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลง และส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น เมื่อเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่าลง นักลงทุนจึงหันมาหาทองคำเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย และสิ่งนี้มีส่วนทำให้ราคาของทองคำสูงขึ้น ควรสังเกตว่าเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น ทองคำจะมีราคาแพงกว่าสำหรับประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการซื้อทองคำ
ทำไมนักเทรดถึงชอบซื้อขายทองคำ?
- สินทรัพย์มีสภาพคล่อง และความผันผวนที่ดี
- นักลงทุนชอบที่จะซื้อทองคำเพื่อเป็นที่หลบภัยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ ในขณะที่ทองคำมีแนวโน้มที่จะรักษามูลค่าของมันเอาไว้ได้
- เพื่อรับประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และป้องกันเงินเฟ้อ
- เพื่อกระจายพอร์ตการลงทุน
วิธีที่ง่ายที่สุดในการซื้อขายโลหะมีมูลค่าคือการแลกเปลี่ยนทางการเงิน ลงทุนในบริษัทเหมืองทอง หรือซื้อขาย ETF ที่ติดตามราคาทองคำ
ขอให้ได้รับกำไรจากการซื้อขายนะคะ!