คำสั่งซื้อสินค้าคงทนเป็นการสำรวจรายเดือนขนาดใหญ่ที่ตรวจวัดกิจกรรมของอุตสาหกรรมในปัจจุบัน และอนาคต คำสั่งซื้อสินค้าคงทนจะสะท้อนให้เห็นถึงคำสั่งซื้อสินค้าคงทนใหม่กับผู้ผลิตในประเทศสำหรับในระยะสั้น หรือในอนาคต สินค้าคงทนเป็นสินค้าราคาแพงที่มีอายุการเก็บรักษาตั้งแต่สามปีขึ้นไป ตัวอย่างเช่น เครื่องจักร และอุปกรณ์ เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อุตสาหกรรม เหล็ก และสิ่งของที่มีราคาแพงกว่า เช่น เครื่องบิน รายงานประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการจัดส่ง ตลอดจนคำสั่งซื้อ และสินค้าคงคลังที่เหลือ ข้อมูลนี้มักจะได้รับการแก้ไขในรายงานคำสั่งซื้อจากโรงงานซึ่งจะเผยแพร่หลังจากประมาณหนึ่งสัปดาห์
คำสั่งซื้อสินค้าคงทนเป็นเครื่องบ่งชี้แรก ๆ ของการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการใช้จ่ายด้านทุนเนื่องจากแสดงให้เห็นว่าโรงงานจะมีงานยุ่งมากแค่ไหนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และวิธีที่ผู้ผลิตดำเนินการตามคำสั่งซื้อเหล่านั้น ข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่บ่งชี้ถึงความต้องการสินค้า เช่น เครื่องใช้และรถยนต์ แต่ยังรวมถึงการลงทุนทางธุรกิจ เช่น อุปกรณ์อุตสาหกรรม เครื่องจักรไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์
วิธีอ่านตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจนี้ หากบริษัทมุ่งมั่นที่จะใช้ไปกับอุปกรณ์ และเงินทุนอื่น ๆ จ่ายมากขึ้น แสดงว่าพวกเขากำลังเผชิญกับการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน การใช้จ่ายไปกับสินค้าเพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวกำหนดความสามารถในการผลิตในประเทศที่มากขึ้น และลดโอกาสเกิดเงินเฟ้อ ในทางกลับกัน หากคำสั่งซื้อสินค้าคงทนลดลง จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจบางอย่างเกิดขึ้น อาจเกิดสงครามการค้า การหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน เหมือนกับในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด (อย่างไรก็ตาม ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกยังไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์) และการเก็บภาษีใหม่ หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย
คำสั่งซื้อสินค้าคงทนจะวัดเป็นดอลลาร์ และเผยแพร่โดยสำนักสำมะโนประชากรสหรัฐฯ โดยมีสองรายงาน คือ – รายงานปกติ และรายงานหลัก รายงานหลักจะไม่รวมคำสั่งซื้อสำหรับสินค้าที่ขนส่ง
วิธีการอ่านข้อมูลคำสั่งซื้อสินค้าคงทน สำหรับการวิเคราะห์ในระยะกลาง สิ่งสำคัญ คือ ต้องดูแนวโน้มคำสั่งซื้อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว สำหรับการวิเคราะห์ในระยะสั้น คุณต้องเปรียบเทียบระหว่างค่าที่คาดการณ์ไว้ และค่าที่เกิดขึ้นจริง
หากคำสั่งซื้อสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นจากเดือนต่อเดือน หรือจากไตรมาสหนึ่งไปอีกไตรมาส แสดงว่าผู้ผลิตจะเพิ่มกิจกรรมโดยการทำงานเพื่อทำตามคำสั่งซื้อ ซึ่งถือว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบริษัท และเศรษฐกิจโดยรวม มีความสัมพันธ์กันระหว่างคำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่เพิ่มขึ้นกับดัชนีสต็อกที่เพิ่มขึ้น
หากคำสั่งซื้อสินค้าคงทนลดลงจากการเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้วนั่นหมายความว่าบริษัทต่าง ๆ ลดกิจกรรมการผลิตด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งอาจทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อ ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ภาษีที่สูงขึ้น และสงครามการค้าเพิ่มขึ้น เป็นต้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ คำสั่งซื้อที่ต่ำกว่านั้นเป็นค่าลบ เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ กำลังสูญเสียผลกำไรซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัท และดัชนีหุ้น
หากเรากำลังพูดถึงปฏิกิริยาระยะสั้นต่อรายงาน ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงดีกว่าที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น และในทางกลับกัน หากมูลค่าที่แท้จริงแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจนำไปสู่การเทขายในตลาดหุ้นได้
เราลองดูตัวอย่างที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (วันพุธที่ 27 กรกฎาคม) ได้มีการเผยแพร่รายงานคำสั่งซื้อสินค้าคงทนฉบับล่าสุด รายงานปกติแสดงคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น 1.9% (การคาดการณ์คือ 0.8%) ในขณะที่รายงานหลักพบว่ามีการเพิ่มขึ้น 0.3% (การคาดการณ์คือ 0.5%) และแม้ว่าดัชนีของสินค้าคงทนหลักจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ดัชนีหุ้นก็มีปฏิกิริยาในเชิงบวกต่อรายงาน เนื่องจากการเติบโตของคำสั่งซื้อขายทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าเศรษฐกิจยังไม่ถดถอย นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของวิธีวิเคราะห์ดัชนีนี้
ขอให้ได้รับกำไรจากการซื้อขายนะคะ