ตะวันออกกลางเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์มายาวนาน และความขัดแย้งเต็มรูปแบบระหว่างอิสราเอล และอิหร่านอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วโลกด้วย หากความขัดแย้งดังกล่าวปะทุขึ้น ตลาดการเงินโลกจะรู้สึกถึงผลกระทบจากความขัดแย้งดังกล่าวได้ ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้น ทองคำจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเงินดอลลาร์สหรัฐอาจผันผวน เรามาดูกันว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น น้ำมัน ทองคำ และดอลลาร์ จะตอบสนองต่อความขัดแย้งดังกล่าวอย่างไร
1. ราคาน้ำมัน
ผลที่ตามมาโดยตรง และทันทีที่สุดอย่างหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และอิหร่านก็คือราคาน้ำมัน ตะวันออกกลางเป็นผู้รับผิดชอบการจัดหาน้ำมันรายใหญ่ของโลก แม้ว่าอิสราเอล และอิหร่านจะไม่ได้เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของภูมิภาคนี้มีความเปราะบางอย่างไม่น่าเชื่อ ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ช่องแคบฮอร์มุซเป็นช่องแคบที่มีการขนส่งน้ำมันประมาณ 20% ของโลก อิหร่านมีอำนาจควบคุมพื้นที่ดังกล่าว และในกรณีเกิดสงคราม มีความเสี่ยงที่อิหร่านอาจทำการระงับ หรือขัดขวางการขนส่งน้ำมัน
เมื่ออุปทานน้ำมันถูกคุกคาม ราคาจะพุ่งสูงขึ้น — มันจะเกิดขึ้นได้ทันที เราได้เห็นราคาน้ำมันสูงขึ้นจากความขัดแย้งอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง เช่น วิกฤตน้ำมันในปี พ.ศ. 2516 ว่าราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นถึงสี่เท่า หากเกิดสงครามระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน เราอาจเห็นราคาพุ่งสูงขึ้นใกล้เคียงกับเมื่อปี พ.ศ. 2516 ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบในเศรษฐกิจโลก สำหรับประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน เช่น ยุโรป และเอเชีย นั่นหมายถึง ราคาเชื้อเพลิง การขนส่ง และการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง
2. ทองคำ
ในช่วงวิกฤต นักลงทุนมักวิ่งเข้าหาสิ่งที่พวกเขามองว่ามีความ “ปลอดภัย” ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงเวลาที่เกิดความไม่แน่นอนเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว หากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอล และอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ เรามีแนวโน้มว่าความต้องการทองคำจะพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากผู้คนมองหาแหล่งสะสมมูลค่าที่มีความมั่นคง
ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในช่วงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ ๆ เกือบทุกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สงครามอ่าวไปจนถึงการรุกรานอิรักในปี พ.ศ. 2546 ทำไมน่ะเหรอ? เพราะว่าการซื้อทองคำถือเป็นการป้องกันความเสี่ยง เมื่อตลาดอื่น ๆ มีความผันผวน ทองคำมักจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนซื้อเก็บไว้ใช่ช่วงวิกฤติ ดังนั้น หากอิสราเอล และอิหร่านเข้าสู่ภาวะสงคราม เราคาดว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง คุณคิดว่าในช่วงเวลานี้ ราคาทองคำมีราคาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์หรือไม่
3. เงินดอลลาร์สหรัฐ
เงินดอลลาร์สหรัฐก็เหมือนกับทองคำที่มีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าขึ้นในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนทั่วโลก ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก ดอลลาร์สหรัฐถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ผู้คนมักจะรีบซื้อดอลลาร์สหรัฐ ในกรณีที่เกิดสงครามระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน เรามีแนวโน้มที่จะเห็นค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเนื่องจากนักลงทุนแสวงหาที่หลบภัยจากความสับสนวุ่นวาย
แต่มันมีความซับซ้อนมากกว่านั้น หากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากความขัดแย้ง อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นกับทั่วโลก แต่ยังรวมถึงในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นหมายความว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น แม้ว่าขณะนี้อัตราดอกเบี้ยจะสูงอยู่แล้ว และธนาคารกลางสหรัฐเริ่มเข้าสู่วงจรของการลดอัตราดอกเบี้ยแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมาก็ตาม ในที่สุด หากความขัดแย้งยืดเยื้อต่อไป และอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง สิ่งนี้อาจกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนำไปสู่ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อสกุลเงินอื่น ๆ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่อีกด้วย ประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางสูงอาจเห็นว่าสกุลเงินของพวกเขาอ่อนค่าลงเนื่องจากน้ำมันมีราคาแพงขึ้นซึ่งส่งผลให้ความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อชำระค่าน้ำมันนั้นเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงแรก แต่ในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับว่าความขัดแย้งพัฒนาไปอย่างไร และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รับมือกับราคาพลังงานที่มีราคาสูงขึ้นได้อย่างไร
4. ตลาดหุ้น
โดยทั่วไปแล้ว ตลาดหุ้นไม่ชอบความไม่แน่นอน และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และอิหร่านมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความผันผวนในตลาดโลกได้ นักลงทุนมักจะถอนเงินจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้น พวกเขาเมื่อไม่แน่ใจเกี่ยวกับอนาคต และภาวะสงครามในตะวันออกกลางก็จะกระตุ้นให้เกิดความไม่แน่นอนที่คล้ายกันขึ้นได้อย่างแน่นอน
เศรษฐกิจในบางภาคส่วนจะได้รับผลกระทบหนักกว่า บริษัทที่พึ่งพาน้ำมันในปริมาณสูง หรือเชื่อมต่อกับภูมิภาค เช่น สายการบิน การขนส่ง และการผลิต อาจพบว่าราคาหุ้นลดลงเนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และบางอุตสาหกรรม เช่น บริษัทด้านการป้องกันประเทศ หรือบริษัทพลังงานนอกตะวันออกกลาง อาจพบว่าราคาหุ้นลดลงเนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
5. เศรษฐกิจระดับภูมิภาค
ทุกภูมิภาคในตะวันออกกลางจะรู้สึกถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจอันหนักหน่วงจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และอิหร่านที่ปะทุอย่างเต็มรูปแบบ ประเทศต่าง ๆ เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และคูเวต เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมัน อาจได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นคงในภูมิภาคอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติรู้สึกหวาดกลัว และตลาดการเงินของประเทศเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบ
ประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจทันที โดยเฉพาะในเอเชีย (จีน อินเดีย ญี่ปุ่น) และยุโรป ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้ต้นทุนตั้งแต่การขนส่งไปจนถึงการผลิตเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และทำให้ครัวเรือนลดงบประมาณของครัวเรือนลง ธนาคารกลางในประเทศเหล่านี้อาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อซึ่งอาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลง
บทสรุป
ความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างอิสราเอล และอิหร่านจะมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อตลาดการเงินโลก ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้น ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกช้าลง ทองคำจะกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาแรง เนื่องจากนักลงทุนแสวงหาแหล่งรายได้ที่ปลอดภัย และเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นในฐานะสกุลเงินที่ปลอดภัยในช่วงเริ่มแรก
ตลาดหุ้นจะประสบกับความผันผวนสูง โดยบางภาคส่วนต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าภาคส่วนอื่น ๆ และเศรษฐกิจในภูมิภาคของตะวันออกกลาง และประเทศผู้นำเข้าน้ำมันจะเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง กล่าวโดยสรุป สงครามระหว่างอิสราเอล และอิหร่านจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนในวงกว้าง สร้างสภาพแวดล้อมที่ท้าทายให้กับนักลงทุน และตลาดโลก